สงคราม “รัสเซีย-ยูเครน” กระทบชิ่งฟันด์โฟลว์ไหลออก “สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย” เผยแค่ 10 วันแรกเดือน มี.ค. เงินทุนเคลื่อนย้ายออกจากตลาดบอนด์แล้วกว่า 6.5 หมื่นล้านบาท จากช่วง 2 เดือนแรกปีนี้ต่างชาติซื้อสุทธิบอนด์ไทยถึง 1.2 แสนล้านบาท ดันยอดถือครองต่างชาติทะลุ 1.1 ล้านล้านบาท จับตาเฟดประกาศขึ้นดอกเบี้ยยิ่งกดดันฟันด์โฟลว์ไหลออก
นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปี 2565 มา มีกระแสเงินลงทุน (ฟันด์โฟลว์) ของนักลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทยต่อเนื่อง โดยเข้าใจว่านักลงทุนมองประเทศไทยเป็นเหมือนหลุมหลบภัย (safe haven) แม้จะมีความกดดันในเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) กระชากขึ้นรุนแรง แต่ก็ยังคงเห็นทิศทางฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามาลงทุนในไทย
โดยในช่วง 2 เดือนแรก (ม.ค.-ก.พ.) มีฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามาซื้อพันธบัตรไทยสุทธิ 1.22 แสนล้านบาท ถือว่ามาก เมื่อเทียบปี 2564 ที่ทั้งปีมีฟันด์โฟลว์ไหลเข้า 1.4 เเสนล้านบาท
“ฟันด์โฟลว์ที่ไหลเข้าต่อเนื่อง ทำให้ยอดถือครองพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติทะลุ 1.1 ล้านล้านบาทแล้ว โดยกว่า 9.6 แสนล้านบาท ยังเป็นการถือครองในพันธบัตรระยะยาว และเริ่มที่จะเห็นการถือครองพันธบัตรระยะสั้นในระยะหลังเพิ่มขึ้น 1.5 แสนล้านบาท”
“ทั้งนี้ ในส่วนยอดถือครองพันธบัตรระยะยาวจะเห็นว่าเป็นการถือครองพันธบัตรอายุ 5-10 ปี สัดส่วนถึง 32.19% และอายุมากกว่า 10 ปี คิดเป็น 28.85% ฉะนั้น จะเห็นว่าเกินกว่า 60-70% ของนักลงทุนต่างชาติยังคงถือครองพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุมากกว่า 5 ปีขึ้นไป แม้จะมีฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามาในพันธบัตรระยะสั้นเพิ่มขึ้นในช่วงต้นปี”
นางสาวอริยากล่าวอีกว่า สำหรับในเดือน มี.ค. ภาพฟันด์โฟลว์อาจจะสลับกัน โดยฟันด์โฟลว์ไหลออกไปแล้วกว่า 6.5 หมื่นล้านบาท หลังจากที่เกิดวิกฤตสงครามรัสเซียกับยูเครน (1-10 มี.ค.) เนื่องจากในสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง ฟันด์โฟลว์ส่วนหนึ่งจะไหลกลับเข้าไปลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์อีกครั้ง
“ก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤตสงครามรัสเซียกับยูเครน เราเชื่อว่าจะเห็นฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนกว่าเฟดจะประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่เมื่อเกิดสงครามขึ้น เราเห็นทิศทางฟันด์โฟลว์ไหลออกไปในทันที ซึ่งเรายังไม่รู้ว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อแค่ไหน เพราะฉะนั้นคงจะคาดการณ์ฟันด์โฟลว์ได้ยาก แต่โดยภาพใหญ่แล้วในช่วงครึ่งปีหลัง หากบอนด์ยีลด์สหรัฐขยับขึ้นแรง ๆ ก็มีโอกาสที่ฟันด์โฟลว์จะไหลออกกลับไปลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์ ทั้งนี้ หลังเกิดวิกฤตสงครามรัสเซียกับยูเครนจะเห็นว่า บอนด์ยีลด์ไทยที่เคยพุ่งขึ้นไปถึงระดับ 2.2% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของปีนี้ ก็ลดลงมาที่ 2.1%” นางสาวอริยากล่าว
นางสาวศิรินารถ อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย กล่าวว่า ฟันด์โฟลว์ที่ไหลเข้ามามากในช่วงต้นปีมาจากการที่นักลงทุนต่างชาติมองหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากทิศทางเงินบาทที่แข็งค่า เนื่องจากในช่วงต้นปีเงินบาทไทยแข็งค่าขึ้น ในขณะที่ดอลลาร์อ่อนค่าลง ซึ่งจะเห็นว่ากว่า 50% ของฟันด์โฟลว์ในช่วง 2 เดือนแรกไหลเข้ามาในพันธบัตรระยะสั้นเพิ่มมากขึ้น จากแต่เดิมจะไหลเข้ามาในพันธบัตรระยะยาวมากกว่า
นอกจากนี้ หากเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค หลายประเทศเริ่มมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งในช่วงที่ปรับดอกเบี้ยขึ้น ผลตอบแทนในพันธบัตรจะลดน้อยลง ดังนั้น ด้วยความที่ประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า นักลงทุนจึงนำเงินเข้ามาพัก เพื่อหลบการขาดทุนจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของประเทศอื่น ๆ
“ฟันด์โฟลว์ที่ไหลออกในเดือน มี.ค.นี้ มองว่าอาจจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดมากนัก แต่หากไหลออกไปเยอะมาก ๆ ก็กังวลว่าอาจจะส่งผลให้บอนด์ยีลด์ของไทยเกิดผันผวนได้ ทั้งนี้ เราประเมินแนวโน้มฟันด์โฟลว์ทั้งปี ว่าจะเริ่มเห็นไหลออกมากกว่าไหลเข้า เนื่องจากเฟดจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ค่อนข้างมากในปีนี้ จึงเป็นแรงกดดันสำคัญ รวมถึงดอลลาร์ที่จะแข็งค่าขึ้นและบอนด์ยีลด์สหรัฐที่จะมีความน่าสนใจมากกว่าเมื่อเทียบกับค่าเงินบาท แต่จากฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามาเยอะและสะสมในช่วงต้นปี ก็คาดว่าสุทธิทั้งปีฟันด์โฟลว์ที่ไหลออกอาจจะไม่ได้เยอะมาก” นางสาวศิรินารถกล่าว
อ้างอิง
https://www.prachachat.net/finance